อบเชยไม่เชยอย่างที่คิด…พิชิตโรคอ้วนได้….
คนไทยทุกคนรู้จัก “แกงพะโล้” และยังรู้ด้วยว่า “พะโล้” เป็นศัพท์สะแลงสำหรับล้อเลียนคนอ้วน ดังนั้น ถ้าใครถูกล้อว่า “หุ่นพะโล้” หรืออ้วนเป็น “หมูพะโล้” จึงโกรธมาก แต่ก็แปลกที่คนอ้วนมักชอบกินแกงพะโล้ ทั้งที่เป็นอาหารแสลงสำหรับคนอ้วน เพราะอุดมด้วย เนื้อหมูเป็นก้อนๆ กับไข่ต้มเป็นลูกๆ
แต่แกงพะโล้ มิได้น่ากลัวสำหรับคนอ้วนอย่างที่คิด เพราะพ่อครัวหัวป่าก์ ที่คิดสูตรแกงพะโล้ขึ้นมา ท่านมีเคล็ดวิชาแก้ภาวะไขมันล้นเกินไว้แล้ว คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้เลยว่า น้ำแกงพะโล้ที่ แสนอร่อยลิ้น ดับกลิ่นคาวเนื้อหมูนั้นที่แท้ก็คือ น้ำเปลือกอบเชย ซึ่งเป็นสมุนไพรเครื่องเทศตัวสำคัญที่ช่วยยับยั้งมิให้ไขมันเข้ าไปสะสมในร่างกายนักบริโภคมากเกินไป
ถ้าหากไม่มีอบเชยแล้วรับรองว่าคนที่ชอบกินหมูพะโล้จะอ้วนจนยั้ง ไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยทีเดียวแหละ
อบเชย สมุนไพรมหัศจรรย์ลดความอ้วนชนิดนี้ โด่งดังมาจากงานวิจัยของอเมริกาที่บ่งชี้ว่า โรคเบาหวานเกิดจากสารอินซูลิน (insulin) ทำงานไม่ได้ผลในภาวะอ้วน พูดง่ายๆ ว่าความอ้วนจะยับยั้งไม่ให้อินซูลินทำงานแปรน้ำตาลเป็นพลังงาน ทำให้มีน้ำตาลเหลืออยู่ในกระแสเลือดมาก จนกลายเป็นโรคเบาหวานเรื้อรังในที่สุด
งานวิจัยชิ้นนี้ พบว่า โรคอ้วนมิได้เกิดขึ้นโดดๆ แต่มีพันธมิตรร่วมด้วย คือ
- ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
- ภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ
กลุ่ม พันธมิตรที่มีโรคอ้วนเป็นแกนนำนี้ มีชื่อเรียกแบบหนังบู๊แอคชั่นว่า “ซินโดรม เอ๊กซ์ (Syndrome X)” ทางโครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Cholesterol Education Program) กำหนดสเป็คของโรคซินโดรม เอ๊กซ์ ไว้ 4 ประการ ดังนี้
1. รอบเอวมากกว่า 102 ซม. (40 นิ้ว) สำหรับผู้ชาย หรือมากกว่า 88 ซม. (35 นิ้ว) สำหรับผู้หญิง
2. ค่าความเข้มข้นของไตรกลีเซอรอล (Triglycerol) ในเลือด (หลังอดอาหาร) มากกว่า 150 มิลลิกรัม (มก.) / เดซิลิตร (ดล)
3. ค่าคอเลสเตอรอลตัวดี (High Density Lipoprotien หรือ HDL-Cholesterol หลังอดอาหารเหลือน้อยกว่า 40 มก./ดล. สำหรับผู้ชาย หรือน้อยกว่า 50 มก./ดล. สำหรับผู้หญิง
4. ค่าน้ำตาลในเลือด (Fasting blood glucose) มากกว่า 110 มก./ดล. หรือความดันบนเกิน 130 มม.ปรอท ความดันล่างเกิน 85 มม.ปรอท
ถ้าผู้ใดมีค่าต่างๆ ตรงเสป็คดังกล่าว อย่างน้อย 3 ข้อ ก็ถือว่าจัดเป็นโรค ซินโดรม เอ๊กซ์ หรือ ซิน-เอ๊กซ์
ที่น่าตื่นเต้นคือ การแก้โรคซิน-เอ็กซ์นั้น คำตอบอยู่ที่ “เปลือกอบเชย”
ลอง มาดูซิว่า เปลือกอบเชยมีกลไกลดความอ้วนได้อย่างไร ในสายพันธุ์อบเชยทั้งหมด 250 ชนิดนั้น ตัวที่ใช้ในบ้านเรามากก็มี 2-3 ชนิด คือ อบเชยชวา อบเชยเทศ และอบเชยจีน ที่มีลักษณะเป็นเปลือกไม้สีน้ำตาล ม้วน เป็นหลอดเหมือนทองม้วน ซึ่งใช้เป็นเครื่องเทศสำหรับปรุงพะโล้ หรือขาหมู นั่นแหละ มีสารสำคัญที่มีชื่อว่า ไฮดรอกซี่ชาลโคน (Hydroxychalcone) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยให้ระดับอินซูลินในเลือดและระดับคอเลสเตอรอลตัวดีสูงขึ้นอย ่างมาก ซึ่งตรงนี้บ่งบอกว่า อบเชยช่วยควบคุมระดับกลูโคสในเลือดให้เป็นปกติ รับประกันว่าชีวิตนี้ไม่มีวันเป็นเบาหวานแน่นอนถ้าใช้อบเชย
ที่สำคัญ กว่านั้นคือสารไฮดรอกซี่ชาลโคนช่วยลดการดูดซึมของคาร์โ บไฮเดรตและไขมันในลำไส้เล็ก ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คืออบเชยทำหน้าที่เป็น รปภ. สกัดกั้นมิให้น้องแป้งกับคุณไขมันเข้ามาในเรือนร่างกายของเรานั ่นเอง
วิธีกินอบเชยให้ได้ผลคือ
ต้อง ใช้ผงอบเชยขนาด 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ดังนั้น ถ้าน้ำหนักตัว 50 กก. ก็ต้องใช้ผงอบเชย 1 กรัม เป็นอย่างน้อย หรือประมาณวันละ 4 แคปซูล (แคปซูลละ 250 มก.) ถ้าหนัก 80 กก. ก็ใช้อบเชย ก็ประมาณ 6-8 แคปซูล โดยแบ่งกินครั้งละ 2 แคปซูล 4 เวลาหลังอาหารและก่อนนอน
อย่าง ไรก็ตาม อบเชยจัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรปลอดภัยที่สุด คือไม่มีโทษเลยตามมาตรฐาน ของ GRAS (Generally Recognized As Safe) หรือวัตถุที่มีความปลอดภัย โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration) ของสหรัฐอเมริกา รับประกัน
อบเชยจึงเป็นสมุนไพรไม่เชยเหมือนชื่อ แต่ทันสมัยเหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการลดความอ้วน
|